วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ที่มาของฟุตบอลแต่ละประเทศ

ประวัติฟุตบอล ความเป็นมาของฟุตบอล ที่มาที่ไป





ฟุตบอล (Football) หรือซอคเก้อร์ (Soccer) เป็นกีฬาที่มีผู้สนใจที่จะชมการแข่งขันและเข้าร่วมเล่นมากที่สุดในโลก ชนชาติใดเป็นผู้กำเนิดกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะยืนยันได้แน่นอน เพราะแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ซูเลอ" (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio) มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ทั้งสองประเทศอาจจะถกเถียงกันว่ากีฬาฟุตบอลถือกำเนิดจากประเทศของตน อันเป็นการหาข้อยุติไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริง ดังนั้น ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะอ้างอิงได้ เพราะการเล่นที่มีกติการการแข่งขันที่แน่นอน คือประเทศอังกฤษเพราะประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอลในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2431



วิวัฒนาการด้านฟุตบอลจะเป็นไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ตลอดมา ต้นกำเนิดกีฬาตะวันออกไกลจะได้รับอิทธิพลมาจากสงครามครั้งสำคัญๆ เช่น สงครามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำเอา "แกลโล-โรมัน" (Gello-Roman) พร้อมกีฬาต่างๆ เข้ามาสู่เมืองกอล (Gaul) อันเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของกีฬาฟุตบอลในอนาคต และการเล่นฮาร์ปาสตัม (Harpastum) ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นกีฬาซูเลอ


วิวัฒนาการของฟุตบอล

ภาคตะวันออกไกล
ขงจื้อได้กล่าวไว้ในหนังสือ "กังฟู" เกี่ยวกับกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาที่ใช้เท้าและศีรษะในสมัยจักรพรรดิ์ เซิงติ (Emperor Cneng Ti) (ปี 32 ก่อนคริสตกาล) มีการเล่นกีฬาที่คล้ายกับฟุตบอลซึ่งเรียกว่า"ซือ-ซู" (Tsu-Chu) ซึ่งหมายถึงการเตะลูกหนังด้วยเท้า กีฬาชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ซึ่งนักประพันธ์และนักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นได้ยกย่องผู้เล่นที่มีชื่อเสียงให้เป็นวีรบุรุษของชาติ และในสมัยเดียวกันได้มีการเล่นคล้ายฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

ภาคตะวันออกกลาง
ในกรุงโรม ความเจริญของตะวันออกไกลได้แผ่ขยายถึงตะวันออกกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอิทธิพลของสงครามโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช การเล่นกีฬาชนิดหนึ่งเรียกว่า ฮาร์ปาสตัม เป็นกีฬาที่นิยมของชาวโรมันและชาวกรีกโบราณวิธีการเล่นคือ มีประตูคนละข้าง แล้วเตะลูกบอลไปยังจุดหมายที่ต้องการ เช่น จากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง การเล่นจะเป็นการเตะ หรือการขว้างไปข้างหน้าฮาร์ปาสตัม หมายถึงการเหวี่ยงไปข้างหน้า การเล่นกีฬาฮาร์ปาสตัมในกรุงโรมดูเหมือนจะเป็นต้นกำเนิดของกีฬาซึ่งมีการเล่นในสมัยกลาง


ในการเล่นฮาร์ปาสตัม ขนาดของสนามจะเล็กกว่าสนามกีฬาซูเลอ แต่จุดประสงค์ของกีฬาทั้งสองคือ การนำลูกบอล ไปยังแดนของตน แต่เนื่องจากมีเสียงอึกทึกโครมครามจากการวิ่งแย่งลูกบอล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากมาย อันเป็นข้อห้ามของพระเจ้า จึงมีพระบรมราชโองการในนามของพระเจ้าแผ่นดินห้ามเล่นกีฬาดังกล่าวในเมือง ผู้ฝ่าฝืนมีโทษถึงจำคุก นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามซึ่งออกในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.1892 ขอให้เล่นยิงธนูในวันฉลองต่าง ๆ แทนการเล่นเกมฟุตบอล
ในโอกาสต่อมากีฬาฟุตบอลได้จัดให้มีการแข่งขันกันอีกครั้ง ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างทีมต่างๆ ที่อยู่ห่างกันประมาณ 3-4 ไมล์ ( 5-6.5 กิโลเมตร- )


ในปี พ.ศ. 2344 กีฬาชนิดนี้ได้ขัดเกลาให้ดีขึ้น มีการกำหนดจำนวนผู้เล่นให้เท่ากันในแต่ละข้าง ขนาดของสนามอยู่ในระหว่าง 80 - 100 หลา (73-91 เมตร) และมีประตูทั้งสองข้างที่ริมสุดของสนามซึ่งทำด้วยไม้ 2 อัน ห่างกัน 2-3 ฟุต


ในปี พ.ศ. 2366 ได้จัดให้มีการเล่นฟุตบอลในรูปแบบของการเล่นใน ปัจจุบัน William Alice คือผู้เริ่มวางกฎบังคับต่างๆ สำหรับกีฬาฟุตบอลและรักบี้ ในปี พ.ศ. 2393 ได้มีการออกระเบียบและกฎของการเล่นไปสู่ ดินแดนต่างๆ ให้ปฏิบัติตาม โดยจำกัดจำนวนผู้เล่นให้มีข้างละ 15-20 คน


ในปี พ.ศ. 2413 มีการกำหนดผู้เล่นให้เหลือข้างละ 11 คน โดยมีผู้เล่นกองหน้า 9 คน และผู้เล่นรักษาประตู 2 คน โดยผู้รักษาประตูใช้เท้าเล่นเหมือน 9 คนแรกจนกระทั่งให้เหลือผู้รักษาประตู 1 คน แต่อนุญาตให้ใช้มือจับลูกบอลได้ในปี พ.ศ. 2423


ในปี พ.ศ. 2400 สโมสรฟุตบอลได้ก่อตั้งเป็นครั้งแรกที่เมืองเซนพัสด์ประเทศอังกฤษ และต่อมาในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2406 สโมสรฟุตบอล 11 แห่งได้มารวมกันที่กรุงลอนดอนเพื่อก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้น ซึ่ง
ถือเป็นรากฐานในการกำเนิดสมาคมแห่งชาติ จนถึง 140 สมาคม และทำให้ผู้เล่นฟุตบอลต้องเล่นตามกฎและกติกาของสมาคมฟุตบอล จนเวลาผ่านไปจากคำว่า Association ก็ย่อเป็น Assoc และกลายเป็น Soccer ขึ้นในที่สุด ซึ่งนิยมเรียกกันในประเทศอังกฤษ แต่ชาวอเมริกันเรียกว่า Football หมายถึง American football


ภายนอกเกาะอังกฤษ พวกกะลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า วิศวกร หรือแม้แต่นักบวชได้นำกีฬาชนิดนี้ไปเผยแพร่ ประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศที่ 2 ในยุโรป


ในอเมริกาใต้ สโมสรแรกได้ถูกตั้งขึ้นในประเทศอาร์เจนตินา เมื่อพี่น้องชาวอังกฤษ 2 คน ได้ลงข้อความโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของเมืองบูเอโนสไอเรส (Buenos Aires) เพื่อ หาผู้อาสาสมัคร ในปี พ.ศ. 2427 กีฬาฟุตบอลก็กลายมาเป็นวิชาหนึ่งในโรงเรียนของเมืองบูเอโนสไอเรส การแข่งขันระดับชาติครั้งแรกในทวีปอเมริกาใต้ คือ การแข่งขันระหว่างอาร์เจนตินากับอุรุกวัย ในปี พ.ศ.2448 แต่อเมริกาเหนือเริ่มแข่งขันเมื่อปี พ.ศ. 2435


ในอิตาลี ฮาร์ปาสตัมเป็นต้นกำเนิดจิโอโค เดล คาลซิโอ ผู้เล่นกีฬาจะเป็นผู้นำทางสังคม หรือแม้แต่ผู้นำชั้นสูงของศาสนา เช่นสันตปาปา เกลาเมนต์ที่ 7 ลีออนที่ 10 และเออร์เบนที่ 7 เป็นถึงแชมเปี้ยนในกีฬาฟลอเรนไทน์ฟุตบอล ต่อมาชาวโรมันได้ดัดแปลงเกมการเล่นฮาร์ปาสตัมเสียใหม่ โดยกำหนดให้ใช้เท้าแตะลูกบอลเท่านั้น ส่วนมือให้ใช้เฉพาะการทุ่มลูกบอล ซึ่งนักรบชาวโรมัน นิยมเล่นกันมาก


กีฬาฮาร์ปาสตัมซึ่งมีต้นกำเนิดจากสมัยโรมันได้ถูกแปลงมาเป็นกีฬาซูลอหรือซูเลอ กีฬาชนิดนี้เหมือนกับฮาร์ปาสตัม คือ นำลูกบอลกลับไปยังแดนของตน แต่สนามมีขนาดกว้างกว่ามาก
การเล่นซูเลอมักจะมีขึ้นในบ่ายวันอาทิตย์หลังการสวดมนต์เย็น จะมีการแข่งขันสำคัญในช่วงเวลาดีคาร์นิวาล กีฬาชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในเขตปริตานีและมอร์ลังดี กีฬานี้ได้ถูกเผยแพร่ไปยังอังกฤษโดยผู้ติดตามของวิลเลี่ยมผู้พิชิตภายหลัง การรบที่เฮสติ้ง (Hasting)


เมื่อ 900 ปีกว่ามาแล้ว ประเทศอังกฤษได้ตกอยู่ในความปกครองของพวกเคนส์ เชื้อสายโรมัน ซึ่งยกกองทัพมาตีหมู่เกาะอังกฤษตอนใต้ และได้ปกครองเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 1589 อังกฤษเริ่มเข้มแข็งขึ้น และสามารถขับไล่พวกเคนส์ออกจากประเทศได้ หลังจากนั้น 2-3 ปี อังกฤษจึงเริ่มปรับปรุงประเทศเป็นการใหญ่ มีการขุดอุโมงค์ตามพื้นที่หลายแห่ง ซึ่งในการขุดอุโมงค์คนงานคนหนึ่งได้ขุดไปพบกะโหลกศีรษะในบริเวณที่เคยเป็นสนามรบ และเป็นที่ฝังศพของพวกเคนส์มาก่อนทุกคนในที่นั้นแน่ใจว่าเป็นกะโหลกศีรษะของพวกเคนส์ อารมณ์แค้นจึงเกิดขึ้นทันทีเมื่อต่างคนต่างคิดถึงเหตุการณ์ที่ถูกพวกเคนส์กดขี่ทารุณจิตใจคนอังกฤษในสมัยนั้นด้วยเหตุผลนี้ คนงานคนหนึ่งจึงเตะกะโหลกศีรษะนั้นทันที ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็พากันหยุดงานชั่วคราว แล้วหันมาเตะกะโหลกศีรษะเป็นการใหญ่ เพื่อระบายอารมณ์แค้นที่เก็บไว้อย่างสนุกสนาน ผลที่สุดเมื่อพวกนี้หากะโหลกศีรษะเตะกันไม่ได้ก็เอาถุงลมของวัวมาทำเป็นลูกกลมขึ้นเตะแทนกะโหลกศีรษะ ปรากฏว่าเป็นที่รื่นเริงสนุกสนามกันมาก


ต่อมาชาวโรมันได้นำเกมนี้ไปเล่นในอังกฤษ จากนั้นชาวอังกฤษก็ได้ปรับปรุงวิธีการเล่น เทคนิคการเล่น ตลอดจนกติกาให้เหมือนในสมัยปัจจุบัน คือเกมฟุตบอลที่ใช้เท้าเล่น แต่ในระยะแรกของการเล่นฟุตบอลจะเล่นกันเป็นกลุ่มๆ เฉพาะพวกคนธรรมดาเท่านั้น ไม่มีการจำกัดจำนวนผู้เล่น ประตูจะห่างกันเป็นไมล์ และใช้เวลาในการเล่นหลายชั่วโมง จะเป็นการเล่นระหว่างทหารใหม่ที่ถูกเกณฑ์ นักบวช คนที่แต่งงานแล้ว คนโสด และพวกพ่อค้า เกมชนิดได้กลายเป็นสิ่งฉลองในงานพิธีต่างๆ เช่น ในวันโชรพ ทิวส์เดย์ (Shrove Tuesday) จะมีฟุตบอลนัดสำคัญให้คนได้ชม เกมในสมัยนั้นจะเล่นกันอย่างรุนแรงและมีการบาดเจ็บกันมาก


ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 1857 พระเจ้าเอ๊ดเวิร์ดที่ 2 ได้ทรงออกพระราชกฤษฎีกา เนื่องจากมีเสียงอึกทึกครึกโครมจาการวิ่งแย่งลูกบอล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุมากมาย อันเป็นข้อห้ามของพระเจ้า โดยห้ามเล่นกีฬาดังกล่าว ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุก


ฟุตบอลได้เริ่มแข่งขันภายใต้กฎของสมาคมแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2412 ระหว่างทีมรัตเกอร์กับทีมบรินท์ตัน จากนั้นกิจการฟุตบอลได้เจริญขึ้นช้าๆ ในต่างจังหวัดจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการตั้ง
สมาคมฟุตบอลต่างจังหวัดขึ้นในปี พ.ศ. 2450 และมีการฝึกสอนในปี พ.ศ. 2484


ในทวีปเอเชีย อินเดียเป็นประเทศแรกที่เริ่มเล่นฟุตบอล ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยกัลกัตตา เป็นผู้นำสำเนากฎหมายการเล่นมาเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2426 และในปี พ.ศ. 2435 ได้มีการแข่งขันชิงถ้วยรางวัลเป็นครั้งแรก
ในทวีปซึ่งยังไม่มีชื่อเสียงในด้านการเล่นฟุตบอล กีฬาชนิดนี้ก็ได้เริ่มมีการเล่นมาก่อนร่วมร้อยปีแล้ว เช่น
สมาคมฟุตบอลแห่งนิวเซาท์เวลส์ ได้ถูกตั้งขึ้นในออสเตรเลีย ปี พ.ศ. 2425 และสมาคมฟุตบอลของนิวซีแลนด์ได้ถูกตั้งขึ้นหลังจากนั้น 9 ปี


ในแอฟริกา สมาคมระดับชาติแห่งแรกได้ถูกตั้งขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ แต่อียิปต์เป็นประเทศแรกที่มีการแข่งขันระดับชาติในปี พ.ศ. 2467 คือ 3 ปี หลังจากที่ได้ก่อตั้งสมาคมขึ้น และอียิปต์สามารถเอาชนะฮังการีได้ 3-0 ในกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส


การแข่งขันระดับชาติเป็นการแข่งขันระหว่างอังกฤษกับสกอตแลนด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2415 และในปีแรกของศตวรรษที่ 20 โดยประเทศยุโรปอื่นๆ อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2447 กลุ่มประเทศต่างๆ ในแถบนี้ได้ประชุมกันที่ปารีสเพื่อตั้งสมาคมฟุตบอลนานาชาติขึ้น ในครั้งแรกก่อนการจัดตั้งสหพันธ์ 20 วัน สเปนและเดนมาร์กไม่เคยร่วมการแข่งขันระดับชาติมาก่อน และ 3 ประเทศใน 7 ประเทศที่เข้าร่วมประชุมยังไม่มีสมาคมฟุตบอลในชาติของตน แต่ฟีฟ่าก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยมา โดยมีสมาชิก 5 ชาติ ในปี พ.ศ. 2481 และ 73 ชาติ ในปี พ.ศ. 2493 และในปัจจุบันมีสมาชิกถึง 146 ประเทศ ที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมของฟีฟ่า ทำให้ฟีฟ่าเป็นองค์การกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก


สมาพันธ์ประจำทวีปของสมาคมฟุตบอลแห่งแรกที่ตั้งขึ้นคือ Conmebol ซึ่งเป็นสมาพันธ์ของอเมริกาใต้ สมาพันธ์นี้ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อจัดตั้งเพื่อจัดการแข่งขันชิงชนะเลิศภายในทวีปอเมริกาใต้ ในปี พ.ศ. 2460 เกือบครึ่งศตวรรษ ต่อมาเมื่การแข่งขันภายในทวีปได้แพร่หลายมากขึ้น จึงได้มีการจัดตั้งสมาพันธ์ในทวีปอื่นๆ ขึ้นอีกคือสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป ในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการจัดตั้งในทวีปเอเชีย และ 2 ปี ก่อนการจัดตั้งสมาคมฟุตบอลยุโรป ในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลแห่งแอฟริกา (Concacaf)หรือสหพันธ์ฟุตบอลแห่งอเมริกากลาง อเมริกาเหนือ และแคริบเบี้ยน ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 และน้องใหม่ในวงการฟุตบอลโลกคือ สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งโอเชียนเนีย (Oceannir)


สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ


สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (Federation International Football Association FIFA) ก่อตั้งขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2447 โดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศฝรั่งเศส และประเทศที่เข้าร่วมก่อตั้ง 7 ประเทศคือ ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สเปน สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์


สมาพันธ์ฟุตบอลที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
1. Africa (C.A.F.) เป็นเขตที่มีสมาชิกมากที่สุด ได้แก่ ประเทศแอลจีเรีย ตูนิเซีย แซร์ ไนจีเรีย และซูดาน เป็นต้น


2. America-North and Central Caribbean (Concacaf) ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก คิวบา เอติ เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา และฮอนดูรัส เป็นต้น


3. South America (Conmebol) ได้แก่ ประเทศเปรู บราซิล อุรุกวัย โบลิเวีย อาร์เจนตินา ชิลี เวเนซุเอลา อีคิวเตอร์ และโคลัมเบีย เป็นต้น


4. Asia (A.F.C.)เป็นเขตที่มีสมาชิกรองจากแอฟริกา ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง เลบานอน อิสราเอล อิหร่าน จอร์แดน และเนปาล เป็นต้น


5. Europe (U.E.F.A.) เป็นเขตที่มีการพัฒนามากที่สุด ได้แก่ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ฮังการี อิตาลี สกอตแลนด์ รัสเซีย สวีเดน สเปน และเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น


6. Oceannir เป็นเขตที่มีสมาชิกน้อยที่สุดและเพิ่งจะได้รับการแบ่งแยก ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟิจิ และปาปัวนิวกินี เป็นต้น ซึ่งประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิกต้องเสียค่าบำรุงเป็นรายปี ปีละ 300 ฟรังสวิสส์ หรือประมาณ 2,400 บาท


สหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย

ในทวีปเอเชียมีการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเอเชีย (A.F.C.) เพื่อดำเนินการด้านฟุตบอล ดังนี้


พ.ศ. 2495 มีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยมีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จากประเทศในเอเชียเข้ามาร่วมการแข่งขันด้วย จึงได้ปรึกษาหารือกันในการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลเอเชียขึ้น


พ.ศ. 2497 มีการแข่งขันเอเชียนเกมส์ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ก็ได้เริ่มตั้งคณะกรรมการจากชาติต่างๆ ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิก 12 ประเทศ


พ.ศ. 2501 มีการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก และมีประเทศเข้าร่วมเป็นสมาชิกรวมเป็น 35 ประเทศ


พ.ศ. 2509 ฟีฟ่าได้มองเห็นความสำคัญของ A.F.C. จึงได้กำหนดให้มีเลขานุการประจำในเอเชีย โดยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด รวมทั้งเงินเดือน และคนแรกที่ได้รับตำแหน่งคือ Khow Eve Turk


พ.ศ. 2517 ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ที่เตหะราน ประเทศอิหร่านได้มีการประชุมประเทศสมาชิก A.F.C. และที่ประชุมได้ลงมติขับไล่อิสราเอล ออกจากสมาชิก และให้จีนแดงเข้าเป็นสมาชิกแทน ทั้งๆ ที่จีนแดงไม่ได้เป็นสมาชิกของฟีฟ่า นับว่าเป็นการสร้างเหตุการณ์ที่ประหลาดใจให้กับบุคคลทั่วไปเป็นอย่างมากทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง


พ.ศ. 2519 มีการประชุมกันที่ประเทศมาเลเซีย ปรากฏว่าประเทศสมาชิกได้ลงมติให้ขับไล่ประเทศไต้หวันออกจากสมาชิก และให้รับจีนแดงเข้ามาเป็นสมาชิกแทน ทั้งๆ ที่ไต้หวันเป็นประเทศที่ร่วมกันก่อตั้งสหพันธ์ขึ้นมา

งานของสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย
1. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม Asian Cup
2. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม Asian Youth
3. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก
4. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม Pre-Olympic
5. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม World Youth
6. ควบคุมการแข่งขัน Kings Cup, President Cup, Merdeka, Djakarta Cup
นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากฟีฟ่าจัดส่งวิทยากรมาช่วยดำเนินการ


สรุปวิวัฒนาการของฟุตบอล
ก่อนคริสตกาล - อ้างถึงการเล่นเกมซึ่งเปรียบเสมือนต้นฉบับของกีฬาฟุตบอลที่เก่าแก่ที่ได้มีการค้นพบจากการเขียนภาษาญี่ปุ่น-จีน และในสมัยวรรณคดีของกรีกและโรมัน


ยุคกลาง - ประวัติบันทึกการเล่นในเกาะอังกฤษ อิตาลี และฝรั่งเศส
ปี พ.ศ. 1857 - พระเจ้าเอ๊ดเวิร์ดที่ 3 ทรงออกพระราชกฤษฎีกาห้ามเล่นฟุตบอล เพราะจะรบกวนการยิงธนู
ปี พ.ศ. 2104 - Richardo Custor อาจารย์สอนหนังสือชาวอังกฤษกล่าวถึงการเล่นว่า ควรกำหนดไว้ในบทเรียนของเยาวชน โดยได้รับอิทธิพลจาการเล่นกาลซิโอในเมืองฟลอเร้นท์
ปี พ.ศ. 2123 -Riovanni Party ได้จัดพิมพ์กติการการเล่นคาลซิโอ
ปี พ.ศ. 2223 -ฟุตบอลในประเทศอังกฤษได้รับพระบรมราชานุเคราะห์จากพระเจ้ชาร์ลที่ 2
ปี พ.ศ. 2391 -ได้มีการเขียนกฎข้อบังคับเคมบริดจ์ขึ้นเป็นครั้งแรก
ปี พ.ศ. 2406 -ได้มีการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้น
ปี พ.ศ. 2426 -สมาคมฟุตบอลจักรภพ 4 แห่ง ยอมรับองค์กรควบคุม และจัดตั้งกรรมการระหว่างชาติ
ปี พ.ศ. 2429 -สมาคมฟุตบอลเริ่มทำการฝึกเจ้าหน้าที่ที่จัดการแข่งขัน
ปี พ.ศ. 2431 -เริ่มเปิดการแข่งขันฟุตบอลลีก โดยยินยอมให้มีนักฟุตบอลอาชีพ และเพิ่มอำนาจการควบคุมให้ผู้ตัดสิน
ปี พ.ศ. 2432 -สมาคมฟุตบอลส่งทีมไปแข่งขันในต่างประเทศ เช่น เยอรมันไปเยือนอังกฤษ
ปี พ.ศ. 2447 - ก่อตั้งฟีฟ่า ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงปารีส เมื่อ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 โดยสมาคมแห่งชาติคือ ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก สเปน สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์
ปี พ.ศ. 2480 - 2481 -ข้อบังคับปัจจุบันเขียนขึ้นตามระบบใหม่ขององค์กรควบคุม โดยใช้ข้อบังคับเก่ามาเป็นแนวทาง

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ประวัติของถ้วยบอลโลก

เรียนรู้ ประวัติ ถ้วยฟุตบอลโลก ถ้วยมีตำนาน FIFA World Cup น่ารู้ และสิ่งที่ต้องรู้

ถ้วยฟุตบอลโลก ที่เหล่านักเตะทุกคนฝันสักวันจะมีโอกาสได้ชูด้วยใบนี้  ประวัติถ้วยฟุตบอลโลก มีความเป็นมาอย่างไร ถ้วยมีตำนาน FIFA World Cup น่ารู้ และสิ่งที่ต้องรู้  เราจัดมาให้ทั้งหมดแล้ว


ถ้วยฟุตบอลโลก
ถ้วยฟุตบอลโลก

ประวัติเริ่มต้น ถ้วยสีทองแห่งวงการฟุตบอล

ประวัติถ้วยฟุตบอลโลก มีประวัติอันยาวนาน เริ่มต้นใบแรก จากถ้วย ที่เรียกกว่า
จูลส์ ริเมท์ (TROPHY JULES RIMES) เริ่มใช้ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 1930 – 1970
เดิมทีถ้วย จูลส์ ริเมท์ มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า วิคตอรี่ ( Victory ) หรือแปลว่า ชัยชนะ
การเปลี่ยนชื่อนั้น มาจากการให้เกียรติ แก่ อดีตประธานฟีฟ่า นาย จูลส์ ริเมท์


TROPHY JULES RIMES
TROPHY JULES RIMES

รูปแบบถ้วยใบนี้ เป็นการออกแบบ เป็นสัญลักษณ์ของ เทพธิดาแห่งชัยชนะ (Goddess of Victory)
มีปีกอยู่ด้านหลัง และกำลังชูถ้วย อยู่เหนือศรีษะ ทำจากแร่เงินบริสุทธิ์ ชุดด้วยทองคำแท้ มีน้ำหนักถึง 3.8 กิโลกรัม ประเทศแรกที่ได้ครอง ถ้วยใบนี้ไปคือ อุรุกวัย แชมป์ฟุตบอลโลก ปี 1930
แต่ถ้วยใบนี้มีประวัติ ได้เคยหายถึงสองครั้ง ครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1966 ที่ประเทศอังกฤษ แต่โชคยังดี
ใน 7 วันต่อมา สามารถตามเอาคืนมาได้ ครั้งที่ 2 หายที่ประเทศ บราซิล ในปี 1983 หลังจากที่
บราซิล ความแชมป์ 3 สมัย ติด จึงสามารถ ครองถ้วยใบนี้อย่างถาวรได้ แต่หัวขโมยก็ ขโมยเอาไป
แล้ว หายสาปสูญ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


ประวัติถ้วยฟุตบอลโลก บราซิล 1970
ประวัติถ้วยฟุตบอลโลก บราซิล 1970

เปลี่ยนถ้วยฟุตบอลโลกใบใหม่ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

การเริ่มต้นของถ้วยใบใหม่ ถ้วยฟีฟ่าเวิลด์คัพ ( FIFA World Cup Trophy ) ใช้ครั้งแรก เมื่อปี 1974
ที่ประเทศเยอรมนีเป็นเจ้าภาพ และเยอรมนีก็คว้าถ้วยใบนี้ไป นักเตะคนแรก ที่ใช้ชูถ้วยใบนี้คือ
กัปตันทีมอินทรีเหล็กชุดแชมป์โลกปี 1974 “ฟร้านซ์ เบ๊กเค่นบาวร์” และจนมาถึงปัจจุบันนี้ มีเพียง 6 ชาติ เท่านั้น ที่ได้ชูถ้วยใบนี้ เยอรมนี อาร์เจนตินา อิตาลี บราซิล ฝรั่งเศส และ สเปน


FIFA World Cup Trophy
FIFA World Cup Trophy

การออกแบบถ้วยใบนี้ โดยประติมากรรมชาวอิตาเลียน ซิลวิโอ กาซซานิก้า ในปีค.ศ.1971 ซึ่งฟีฟ่าเลือกขึ้นมาจากแบบที่มีผู้นำเสนอถึง 53 แบบ รูปแบบการออกแบบ ถ้วยฟีฟ่า เวิร์ลด์คัพ ทำจากทองคำ 18 กะรัต (75 เปอร์เซ็นต์) ฐานของถ้วยมีเส้น 2 ชั้นทำจากมรกต มีน้ำหนักรวม 6.175 กิโลกรัม
แล้วถ้วยใบนี้ มูลค่า มีมากกว่า 400,000 เหรียญสหรัฐ การออกแบบ ทำเป็นเส้นของรูปปั้นทำเป็นลักษณะ เป็นรูปนักกีฬา 2 คน ยืนหันหลังยกลูกโลก  ทำให้ดูเคลือนไหว ในจังหวะ แห่งชัยชนะ ในส่วนของฐานของถ้วยรางวัลจะ บันทึก สลักปี และชื่อของทีมผู้ชนะเลิศฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974


FIFA World Cup เยอรมัน 1974
FIFA World Cup เยอรมัน 1974

ฟีฟ่าตั้งกฎว่า จะไม่มีทีมใดได้ครอบครองถ้วยฟีฟ่า เวิร์ลด์คัพ ใบจริงเหมือนกับถ้วย จูลส์ ริเมท์ เหมือนที่บราซิลทำได้ แต่ ทีมใดที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกจะได้ทำการสลักชื่อไว้ การชูถ้วยเป็นใบจริง แต่ การเอากลับไปเฉลิมลฉลองหลังได้แชมป์
ฟีฟ่าจะมอบถ้วยจำลองให้ไว้เป็นที่ระลึกแทน ถ้วยใบนี้ จะใช้ได้ถึงแค่ปี 2038 หรืออีก28 ปีข้างหน้าเท่านั้น เพราะ มีพื้นที่ไว้สลักชื่อผู้ได้แชมป์โลกเพียง 17 ช่อง ซึ่งเมื่อถึงปี ค.ศ.2038 ชื่อจะเต็มไม่สามารถเพิ่มได้อีก



ถ้วยฟุตบอลโลก
ถ้วยฟุตบอลโลก
FIFA World Cup จำลอง

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตำนานนักบอลโลก

10 ตำนานนักเตะตลอดกาลจากยุค 90


10. Hristo Stoichkov

Large open uri20160725 40627 1c2v8d2
"ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ" อดีตศูนย์หน้าทีมชาติบัลแกเรีย เล่นบอลในช่วงยุค 1980-90 เป็นนักฟุตบอลที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของบัลแกเรีย เริ่มต้นเป็นนักเตะอาชีพกับ FC Hebros (Harmanli) ลีกบ้านเกิดในปี 1982 ก่อนจะย้ายมาค้าแข้งกับซีเอสเคเอ โซเฟีย โชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยมจนถูกเจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่า คว้าตัวไปเล่นในปี 1990 อยู่ในทีมบาร์เซโลน่าชุดดรีมทีมของยอดกุนซือ โยฮัน ครัฟฟ์ ช่วยพาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลาลีกาสเปนติดต่อกัน 4 สมัย และยังคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพอีก 1 สมัย ก่อนจะย้ายออกจากบาร์เซโลน่าในปี 1995 และก็ย้ายกลับมาอีกครั้งในปี 1996 โดยสามารถพาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ได้อีก 1 ครั้ง และ แชมป์ยุโรปอย่าง คัพ วินเนอร์สคัพ อีก 1 ครั้ง
ผลงานในระดับทีมชาติบัลแกเรีย โดยในศึกฟุตบอลโลกปี 1994 ช่วยยิงประตูให้บัลแกเรียเอาชนะยอดทีมอย่างอาร์เจนตินาพาบัลแกเรียเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม พร้อมส่งอาร์เจนตินาร่วงตกรอบไป อีกทั้งยังช่วยยิงประตูช่วยให้บัลแกเรียนพลิกล็อคเอาชนะเยอรมันตะวันตกแชมป์เก่าตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แม้สุดท้ายบัลแกเรียจะจบทัวร์นาเมนต์ด้วยอันดับ 4 แต่ผลงานส่วนตัวในทัวร์นาเมนต์นี้ ถือว่าสตอยช์คอฟทำได้อย่างยอดเยี่ยมยิงไป 6 ประตูคว้ารางวัลดาวซัลโวฟุตบอลโลกไปครอง จากผลงานอันยอดเยี่ยมทำให้สตอยช์คอฟได้รับรางวัลบัลลง ดอร์ ในปี 1994

9. Roberto Baggio

Large open uri20160725 15551 1ufyl1b
"โรแบร์โต้ บัคโจ้" เป็นอดีตศูนย์หน้าชื่อดังชาวอิตาเลี่ยน ได้รับฉายาว่าเทพบุตรเปียทองคำ เริ่มอาชีพค้าแข้งกับวิเชนซ่า แต่เริ่มเป็นที่รู้จักของแฟนบอลเมื่อเล่นให้กับ ฟิออเรนติน่า จนกระทั่งยอดทีมแห่งตูรินอย่างยูเวนตุส ยอมควักกระเป๋ากว่า 19 ล้านปอนด์คว้าตัวมาร่วมทีม ค่าตัวถือเป็นสถิติโลก ณ ขณะนั้น สมัยค้าแข้งอยู่กับยูเวนตุสโชว์ผลงานได้ยอมเยี่ยมมากๆ สมเป็นยอดดาวยิงของทีม โดยลงสนามให้ยูเวนตุสไปทั้งสิ้น 200 เกมส์ ยิงประตูได้ถึง 115 ประตู สามารถพายูเวนตุสคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพในฤดูกาล 1992–93 ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในฤดูกาลดังกล่าวส่งผลให้เขาได้รับรางวัลคว้าบัลลง ดอร์ ในปี 1993 นอกจากนี้ยังพายูเวนตุสคว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย เอ ในฤดูกาล 1994–95 ก่อนจะย้ายไปเล่นให้กับเอซี มิลานในปี 1995 ในขณะที่เล่นให้กับเอซี มิลาน ยังสามารถช่วยพาเอซี มิลาน คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย เอ ได้อีกในฤดูกาล 1995–96
แม้บาจโจ้ จะประสบผลสำเร็จในระดับสโมสร แต่ในระดับทีมชาติจัดเป็นนักเตะอาภัพคนหนึ่ง แม้จะเป็นนักเตะคนสำคัญที่พาอิตาลีเข้าชิงในฟุตบอลโลกปี 1994 แต่ในช่วงดวลจุดโทษเขาเป็นคนยิงคนสุดท้ายของทีมแต่กลับยิงจุดโทษข้ามคานส่งผลให้อิตาลีพลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย แทนที่จะกลายเป็นฮีโร่ที่ช่วยยิงประตูสำคัญๆ ให้อิตาลีเข้าชิงได้ แต่การพลาดเพียงครั้งเดียวกลับต้องเป็นตราบาปติดตัวเขาไป

8. Rivaldo

Preload
"ริวัลโด้" อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติบราซิล จัดเป็นนักเตะจอมทักษะ สามารถลากเลื้อยเลี้ยงหลบกองหลังคู่แข่งเข้าไปยิงประตูหรือจ่ายให้เพื่อนยิงได้มากมาย ยังเป็นนักเตะจอมยิงไกลคนหนึ่ง สามารถปั่นฟรีคิกได้แม่นยำหวังผลได้ ในช่วงหนึ่งเคยได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเตะหมายเลข 1 ของโลก เคยได้รับรางวัลคว้าบัลลง ดอร์ และ นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีในปี 1999
ริวัลโด ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตการค้าแข้งคือการพาบราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2002 นอกจากนี้ยังพาบราซิลคว้าแชมป์ Confederations Cup ในปี 1997 Copa América ในปี 1999 และรองแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1998 ในระดับสโมสรยังเคยพาบาเซโลนา คว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัย (1997-98, 1998-99) และพาเอซี มิลาน คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย (2002-03)

7. Marco Van Basten

Preload
"มาร์โก้ แวน บาสเตน" อดีตศูนย์หน้าทีมชาติฮอลแลนด์ เป็นหนึ่งในนักเตะที่อยู่ในชุดรุ่งเรืองของฮอลแลนด์ชุดแชมป์ยูโร 1988 และเป็นหนึ่งในสามทหารของทีมเอซี มิลาน และทีมชาติฮอลแลนด์ แวน บาสเท่น เป็นนักเตะที่เล่นบอลได้สวยงาม เป็นหนึ่งในศูนย์หน้าที่ดีที่สุดตลอดกาล เวลาเล่นบอลมักอยู่ถูกที่ถูกเวลา เมื่อโอกาสมาถึงสามารถยิงประตูได้ทันที่จนแฟนชาวไทยให้ฉายาว่า เพชฌฆาตพรายกระซิบ และลูกยิงที่แฟนบอลติดตาตรึงใจคือลูกยิงใบไม้ร่วงมุมแคบยิงใส่สหภาพโซเวียตในนัดชิงฟุตบอลยูโร 1988
ในระดับสโมสรแวน บาสเท่น เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับอาแจ็กซ์ในปี 1981 โชว์ผลงานยอดเยี่ยมลงสนามในเกมส์ลีกให้อาแจ็กซ์ 133 นัด ยิงได้ถึง 128 ประตู ช่วยพาอาแจ็กซ์คว้าแชมป์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ลีก บอลถ้วย และบอลถ้วยยุโรป อย่างยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ จนเอซี มิลานคว้าตัวมาร่วมทีมในปี 1987 พามิลานคว้าแชมป์มากมายทั้งแชมป์ลีกอย่างกัลโช่ ซีรี่ เอ และแชมป์บอลถ้วยใหญ่ของสโมสรยุโรปอย่างยูโรเปี้ยน คัพ ถึง 2 สมัย จากผลงานอันยอดเยี่ยมส่งผลให้เขาได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ถึง 3 สมัย (1988, 1989, 1992) และ นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีอีก 2 สมัย (1988, 1992)

6. Ruud Gullit

Preload
"รุด กุลลิท"อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติฮอลแลนด์ เป็นนักเตะที่มีพลังในการเล่นมาก มีเทคนิคการเล่นบอลที่ดี มีความสามารถครบเครื่องและหาตัวจับยาก เป็นหนึ่งในนักเตะที่อยู่ในชุดรุ่งเรืองของฮอลแลนด์ชุดแชมป์ยูโร 1988 และเป็นหนึ่งในสามทหารของทีมเอซี มิลาน และทีมชาติฮอลแลนด์ ด้วยความยอดเยี่ยมของเขาทำให้กุลลิทได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ในปี 1987
กุลลิทเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับ HFC Haarlem ในปี 1979 และผ่านการเล่นมากับหลายสโมสรแต่มาประสบความสำเร็จสูงสุดกับเอซี มิลาน โดยสามารถพามิลานคว้าแชมป์กัลโช่ ซีรี่ เอถึง 3 สมัย และคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ อีก 2 สมัย นอกจากนี้กุลลิทยังเคยมาค้าแข้งกับเซลซี โดยสามารถพาเชลซีคว้าแชมป์เอฟ เอคัพได้ในฤดูกาล 1996-97

5. Luis Figo

Preload
"หลุยส์ ฟิโก้" อดีตปีกทีมชาติโปรตุเกส ถือเป็นตำนานนักเตะจอมเทคนิค และหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกคนหนึ่งในขณะนั้น เคยได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ในปี 2000 และ นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีของฟีฟ่าในปี 2001 เป็นอดีตกัปตันทีมชาติโปรตุเกส ลงสนามช่วยโปรตุเกสไปถึง 127 เกมส์ ยิงไป 32 ประตู ถือเป็นนักเตะที่ลงสนามให้ทีมชาติโปรตุเกสมากที่สุดตลอดกาลอันดับ 2 สามารถพาโปรตุเกสคว้ารองแชมป์ฟุตบอลยูโร 2004
ในระดับสโมสรเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับสโมสร สปอร์ติง ซีพีในปี 1995 โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมจนเจ้าบุญทุ่มบาร์เซโลน่าคว้ามาร่วมทีม ช่วยพาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์มากมายไม่ว่าจะเป็นลา ลีกา โกปา เดอร์ เร และแชมป์บอลถ้วยยุโรปอย่างยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ จนกระทั่งในปี 2000 ย้ายเป็นเล่นให้ทีมคู่แข่งตลาดกาลอย่าง เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวถึง 60 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ถือเป็นนักเตะที่ค่าตัวสูงที่สุด ณ ขณะนั้น จนสร้างความโกรธเคืองให้กับแฟนบอลบาร์เซโลน่าเป็นอย่างมาก สมัยเล่นกับเรอัล มาดริด ได้เล่นกับตำนานนักฟุตบอลจอมทัพอย่าง ซีเนอดิน ซีดาน, เดวิด เบ็คแฮม จนพาเรอัล มาดริดคว้าแชมป์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ลา ลีกา และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนจะย้ายไปเล่นให้กับอินเตอร์ มิลาน ในปี 2005 ช่วยพาอินเตอร์คว้าแชมป์กัลโช่ ซีรี่ เอ ถึง 4 สมัย และก็แขวนสตั๊ดที่นั่น

4. Lothar Matthaus

Preload
"โลธาร์ มัทเธอุส" อดีตกองกลางตัวรับทีมชาติเยอรมัน เป็นนักเตะในสไตล์เยอรมันขนานแท้ มีความฟิต แข็งแกร่ง รวดเร็ว สร้างสรรค์เกมส์ได้เป็นอย่างดี และประกบคู่แข่งแบบกัดไม่ปล่อย ด้วยความแข็งแกร่งและดุดันได้รับฉายาว่า ซูเปอร์แมน มัทเธอุสได้เล่นฟุตบอลโลกถึง 5 สมัย และเป็นหัวใจสำคัญช่วยพาเยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1990 โดยลงเล่นให้ทีมชาติเยอรมันไปทั้งสิ้น 150 เกมส์ ยิงได้ 23 ประตู ถือเป็นนักเตะที่ลงเล่นให้ทีมชาติยอรมันมากที่สุดตลอดกาล นอกจากนี้ยังเคยได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ในปี 1990 และนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีของฟีฟ่าในปี 1991 เป็นนักเตะเยอรมันเพียงคนเดียวที่สามารถคว้ารางวัลนี้ได้
มัทเธอุส เริ่มเตะบอลอาชีพกับสโมสร โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ในปี 1979 ก่อนจะย้ายไปบาเยิร์น มิวนิคในปี 1984 หลังจากนั้นก็ย้ายไปค้าแข้งให้กับอินเตอร์มิลานในปี 1988 และย้ายกลับมาบาร์เยิร์น มิวนิค อีกครั้งในปี 1992 ในระหว่างเล่นให้กับบาร์เยิร์น พาบาร์เยิร์นคว้าแชมป์บุนเดสลีกาถึง 7 สมัย แต่น่าเสียดายที่ยังไม่เคยคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เลยโดยทำได้เพียงรองแชมป์ 2 สมัย

3. Paolo Maldini

Preload
"เปาโล มัลดินี่" อดีตกองหลังทีมชาติอิตาลี และตำนานกองหลังของทีมเอซี มิลาน จัดเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดของโลก เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับมิลานในปี 1985 และเป็นสโมสรเดียวที่ลงเล่นให้โดยลงเล่นให้กับมิลานไปทั้งสิ้น 902 เกมส์ ถือเป็นตำนานนักเตะที่ลงเล่นให้กับมิลานมากที่สุดตลอดกาล ประสบความสำเร็จมากมายกับมิลาน โดยพามิลานคว้าแชมป์กัลโช่ ซีรี่ เอถึง 7 สมัย และคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถึง 5 สมัย เป็นนักเตะที่มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้มิลานเป็นทีมไร้เทียมทานในปลายยุค 80 จนถึงต้นยุค 90
ในระดับทีมชาติผลงานของเมาดินี่กลับเป็นได้แค่พระรอง ซึ่งกลับสวนทางกับผลงานในระดับสโมสรที่มักจะเป็นพระเอกเรื่อยมา โดยเมาดินี่ได้ลงเล่นฟุตบอลโลกให้กับทีมชาติอิตาลีถึง 4 สมัยปี 1990, 1994, 1998 และ 2002 ทำผลงานได้ดีที่สุดคือคว้ารองแชมป์ในปี 1994 สำหรับฟุตบอลยูโร ลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลี 3 สมัยปี 1988, 1996, 2000 ทำผลงานได้ดีที่สุดคือคว้ารองแชมป์ในปี 2000 เช่นกัน เมาดินี่ลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลีทั้งสิ้น 126 เกมส์ ยิงได้ 7 ประตู ถือเป็นนักเตะที่ลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลีมากที่สุดตลอดกาลอันดับ 3

2. Zinedine Zidane

Preload
"ซิเนอดีน ซิดาน" อดีตมิดฟิลด์ตัวรุกทีมชาติฝรั่งเศส เป็นนักเตะจอมเทคนิค มีทักษะฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม เล่นบอลได้ฉลาด สวยงาม และทรงประสิทธิภาพ เป็นหนึ่งในทำเนียบนักเตะที่ดีที่สุดของโลกตลอดกาล และเคยได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเตะหมายเลข1 ของโลก เป็นหัวใจสำคัญที่พาทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในปี 1998 และแชมป์ยูโรในปี 2000 เคยได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ในปี 1998 และนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีของฟีฟ่าในปี 1998 2000 และ 2003 แม้จะประสบผลสำเร็จสูงสุดกับทีมชาติฝรั่งเศส แต่ซีดานก็มีเรื่องแย่ๆ จนเป็นที่โจษจันไปทั่วโลกคือการเอาหัวโขกใส่มาเตรัซซี่ในเกมส์นัดชิงฟุตบอลโลกปี 2006 ส่งผลให้เขาถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม และฝรั่งเศสพลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย เกมส์นัดดังกล่าวถือเป็นการลงเล่นฟุตบอลนัดสุดท้ายของซีดาน นับเป็นการปิดฉากชีวิตนักฟุตบอลที่ไม่สวยงามนัก
ในระดับสโมสรซีดานเริ่มเล่นให้กับสโมสร Cannes ในปี 1898 ก่อนจะย้ายมาเล่นให้กับยูเวนตุสในปี 1996 โชว์ผลงานยอดเยี่ยมกับยูเวนตุสช่วยพายูเวนตุสคว้าแชมป์กัลโช่ ซีรี่ เอ 2 สมัยก่อนจะย้ายมาเล่นให้กับเรอัล มาดริดในปี 2001 ด้วยค่าตัวสูงถึง 75 ล้านยูโร ถือเป็นนักเตะที่มีค่าตัวสูงที่สุดของโลก ณ ขณะนั้น จนช่วยพามาดริดคว้าแชมป์ลา ลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้ และปิดฉากอาชีพการค้าแข้งที่นั่น

1. Ronaldo

Preload
"โรนัลโด้" อดีตศูนย์หน้าทีมชาติบราซิล เป็นศูนย์หน้าที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง มีทั้งทักษะการเล่น ชั้นเชิงและมันสมอง ความรวดเร็ว ความคม และความแข็งแกร่ง ถือเป็นหนึ่งในยอดศูนย์หน้าอันดับหนึ่งของโลกตลอดกาล และเคยได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเตะหมายเลข1 ของโลก มีส่วนสำคัญในการพาบราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2000 และโรนัลโดยังคว้าดาวซัลโวไปครองโดยยิงได้ 8 ประตู โดยโรนัลโดลงสนามในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายไปทั้งสิ้น 19 เกมส์สามารถยิงประตูได้ถึง 15 ประตู เป็นนักเตะที่ยิงประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมากที่สุดตลอดกาลอันดับ 2 นอกจากนี้ยังพาบราซิลคว้าแชมป์โคปา อเมริกาอีก 2 สมัย โรนัลโดลงเล่นให้ทีมชาติบราซิลไปทั้งสิ้น 98 เกมส์ ยิงไป 62 ประตู ถือเป็นนักเตะที่ยิงประตูให้ทีมชาติบราซิลได้มากที่สุดตลอดกาลอันดับ 2
ในระดับสโมสรเริ่มเล่นฟุตบอลกับสโมสรครูไซโร่ในปี 1993 ก่อนจะย้ายมาเล่นในยุโรปกับสโมสรชั้นนำมากมายไม่ว่าจะเป็น พีเอสวี บาร์เซโลนา อินเตอร์มิลาน เรอัลมาดริด และเอซีมิลาน ในสมัยที่เล่นให้กับมาดริดช่วยพามาดริดคว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัย และเคยได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ 2 สมัยในปี 1997, 2002

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ประวัติฟุตบอล

ประวัติฟุตบอล ความเป็นมาของฟุตบอล
ประวัติฟุตบอล – ฟุตบอล (Football) หรือซอคเก้อร์ (Soccer) เป็นกีฬาที่มีผู้สนใจที่จะชมการแข่งขันและเข้าร่วมเล่นมากที่สุดในโลก ชนชาติใดเป็นผู้กำเนิดกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะยืนยันได้แน่นอน เพราะแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ซูเลอ” (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio) มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ทั้งสองประเทศอาจจะถกเถียงกันว่ากีฬาฟุตบอลถือกำเนิดจากประเทศของตน อันเป็นการหาข้อยุติไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริง ดังนั้น ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะอ้างอิงได้ เพราะการเล่นที่มีกติกาการแข่งขันที่แน่นอน คือประเทศอังกฤษเพราะประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอลในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2431



ประวัติ FiFa

ประวัติ FiFa


นัดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศเกิดขึ้นครั้งแรก ในการแข่งขันที่กลาสโกว์ ในปี ค.ศ. 1872 ระหว่างสก็อตแลนด์กับอังกฤษ[2] และในการแข่งขันชิงชนะเลิศระหว่างประเทศครั้งแรกที่ชื่อ บริติชโฮมแชมเปียนชิป ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1884[3] กีฬาฟุตบอลเติบโตในส่วนอื่นของโลกนอกเหนือจากอังกฤษในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ มีการแนะนำกีฬาและแข่งขันประเภทนี้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1900 และ 1904 และที่กีฬาโอลิมปิกซ้อน 1906[4]
หลังจากที่สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (ฟีฟ่า) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1904 ได้มีการพยายามจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงชนะเลิศระหว่างประเทศ นอกเหนือจากประเทศที่เข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ปี 1906 ที่สวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศในยุคแรก ๆ แต่ประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการของฟีฟ่าอธิบายว่าการแข่งขันนั้นล้มเหลวไป[5]
ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 ในกรุงลอนดอน ฟุตบอลถือเป็นหนึ่งในกีฬาที่แข่งขันอย่างเป็นทางการ จัดขึ้นโดยสมาคมฟุตบอล อังกฤษได้ดูแลในการจัดการแข่งขัน โดยผู้แข่งขันเป็นมือสมัครเล่นเท่านั้นและดูเป็นการแสดงมากกว่าการแข่งขัน โดยบริเตนใหญ่ (แข่งขันโดยทีมฟุตบอลสมัครเล่นทีมชาติอังกฤษ) ได้รับเหรียญทองในการแข่งขัน ต่อมาในโอลิมปิกฤดูร้อน 1912 ที่สต็อกโฮล์มก็มีจัดขึ้นอีก โดยการแข่งขันจัดการโดยสมาคมฟุตบอลสวีเดน
ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกซึ่งแข่งขันฟุตบอลเฉพาะในทีมสมัครเล่น เซอร์โทมัส ลิปตันได้จัดการการแข่งขันที่ชื่อ การแข่งขันชิงถ้วยรางวัลเซอร์โทมัสลิปตัน จัดขึ้นในตูรินในปี ค.ศ. 1909 เป็นการแข่งขันระหว่างสโมสร (ไม่ใช่ทีมชาติ) จากหลาย ๆ ประเทศ บางทีมเป็นตัวแทนของแต่ละประเทศ การแข่งขันครั้งนี้บางครั้งอาจเรียกว่า การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก[6] มีทีมอาชีพเข้าแข่งขันจากทั้งในอิตาลี เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ แต่สมาคมฟุตบอลอังกฤษปฏิเสธที่จะร่วมในการแข่งขันและไม่ส่งทีมนักฟุตบอลอาชีพมาแข่ง ลิปตันเชิญสโมสรเวสต์อ็อกแลนด์ทาวน์ จากมณฑลเดอแรม เป็นตัวแทนของอังกฤษแทน ซึ่งสโมสรเวสต์อ็อกแลนด์ทาวน์ชนะการแข่งขันและกลับมารักษาแชมป์ในปี 1911 ได้สำเร็จ
ในปี ค.ศ. 1914 ฟีฟ่าได้จำแนกการแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิกว่าเป็น "การแข่งขันชิงแชมป์สำหรับมือสมัครเล่น" และลงรับผิดชอบในการจัดการการแข่ง[7] และนี่เป็นการปูทางให้กับการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทวีปเป็นครั้งแรก โดยในโอลิมปิกฤดูร้อน 1920 ที่มีทีมแข่งขันอย่างอียิปต์และทีมจากยุโรปอีก 13 ทีม มีผู้ชนะคือทีมเบลเยี่ยม[8] ต่อมาทีมอุรุกวัย ชนะในการแข่งขันฟุตบอลในโอลิมปิกในอีก 2 ครั้งถัดไปคือในปี ค.ศ. 1924 และ 1928 และในปี ค.ศ. 1924 ถือเป็นยุคที่ฟีฟ่าก้าวสู่ระดับมืออาชีพ

สนามกีฬาเอสตาเดียวเซนเตนาเรียว สถานที่การจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 ที่เมืองมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย
จากความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลในโอลิมปิก ฟีฟ่าพร้อมด้วยประธานที่ชื่อ ชูล รีเม ได้ผลักดันอีกครั้งโดยเริ่มมองหาหนทางในการจัดการแข่งขันนอกเหนือการแข่งขันโอลิมปิก ในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1928 ที่ประชุมฟีฟ่าในอัมสเตอร์ดัมตัดสินใจที่จะจัดการแข่งขันด้วยตัวเอง[9] กับอุรุกวัย ที่เป็นแชมเปียนโลกอย่างเป็นทางการ 2 ครั้ง และเพื่อเฉลิมฉลอง 1 ศตวรรษแห่งอิสรภาพของอุรุกวัยในปี ค.ศ. 1930 ฟีฟ่าได้ประกาศว่าอุรุกวัยเป็นประเทศเจ้าภาพในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก
สมาคมฟุตบอลของประเทศที่ได้รับการเลือก ได้รับการเชิญให้ส่งทีมมาร่วมแข่งขัน แต่เนื่องจากอุรุกวัยที่เป็นสถานที่จัดงาน นั่นหมายถึงระยะทางและค่าใช้จ่ายที่ต้องเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาจากฝั่งยุโรปมา ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่มีประเทศไหนในยุโรปตอบตกลงว่าจะส่งทีมมาร่วม จนกระทั่ง 2 เดือนก่อนการแข่งขัน ในที่สุดริเมตจึงสามารถเชิญทีมจากเบลเยี่ยม ฝรั่งเศส โรมาเนีย และยูโกสลาเวีย มีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 13 ทีม โดยมี 7 ทีมจากทวีปอเมริกาใต้ 4 ทีมจากยุโรป และ 2 ทีมจากอเมริกาเหนือ
2 นัดแรกของการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก จัดขึ้นในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1930 ผู้ชนะคือทีมฝรั่งเศส และทีมสหรัฐอเมริกา ชนะเม็กซิโก 4–1 และเบลเยี่ยม 3–0 ตามลำดับ โดยผู้ทำประตูแรกในฟุตบอลโลกมาจากลุกแซง โลร็องต์ จากฝรั่งเศส[10] ในนัดตัดสินทีมชาติอุรุกวัยชนะทีมชาติอาร์เจนตินา 4–2 ต่อหน้าผู้ชม 93,000 คนที่เมืองมอนเตวิเดโอ ทีมอุรุกวัยจึงเป็นชาติแรกที่ชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก[11]