วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ตำนานนักบอลโลก

10 ตำนานนักเตะตลอดกาลจากยุค 90


10. Hristo Stoichkov

Large open uri20160725 40627 1c2v8d2
"ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ" อดีตศูนย์หน้าทีมชาติบัลแกเรีย เล่นบอลในช่วงยุค 1980-90 เป็นนักฟุตบอลที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของบัลแกเรีย เริ่มต้นเป็นนักเตะอาชีพกับ FC Hebros (Harmanli) ลีกบ้านเกิดในปี 1982 ก่อนจะย้ายมาค้าแข้งกับซีเอสเคเอ โซเฟีย โชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยมจนถูกเจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่า คว้าตัวไปเล่นในปี 1990 อยู่ในทีมบาร์เซโลน่าชุดดรีมทีมของยอดกุนซือ โยฮัน ครัฟฟ์ ช่วยพาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลาลีกาสเปนติดต่อกัน 4 สมัย และยังคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพอีก 1 สมัย ก่อนจะย้ายออกจากบาร์เซโลน่าในปี 1995 และก็ย้ายกลับมาอีกครั้งในปี 1996 โดยสามารถพาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ได้อีก 1 ครั้ง และ แชมป์ยุโรปอย่าง คัพ วินเนอร์สคัพ อีก 1 ครั้ง
ผลงานในระดับทีมชาติบัลแกเรีย โดยในศึกฟุตบอลโลกปี 1994 ช่วยยิงประตูให้บัลแกเรียเอาชนะยอดทีมอย่างอาร์เจนตินาพาบัลแกเรียเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม พร้อมส่งอาร์เจนตินาร่วงตกรอบไป อีกทั้งยังช่วยยิงประตูช่วยให้บัลแกเรียนพลิกล็อคเอาชนะเยอรมันตะวันตกแชมป์เก่าตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แม้สุดท้ายบัลแกเรียจะจบทัวร์นาเมนต์ด้วยอันดับ 4 แต่ผลงานส่วนตัวในทัวร์นาเมนต์นี้ ถือว่าสตอยช์คอฟทำได้อย่างยอดเยี่ยมยิงไป 6 ประตูคว้ารางวัลดาวซัลโวฟุตบอลโลกไปครอง จากผลงานอันยอดเยี่ยมทำให้สตอยช์คอฟได้รับรางวัลบัลลง ดอร์ ในปี 1994

9. Roberto Baggio

Large open uri20160725 15551 1ufyl1b
"โรแบร์โต้ บัคโจ้" เป็นอดีตศูนย์หน้าชื่อดังชาวอิตาเลี่ยน ได้รับฉายาว่าเทพบุตรเปียทองคำ เริ่มอาชีพค้าแข้งกับวิเชนซ่า แต่เริ่มเป็นที่รู้จักของแฟนบอลเมื่อเล่นให้กับ ฟิออเรนติน่า จนกระทั่งยอดทีมแห่งตูรินอย่างยูเวนตุส ยอมควักกระเป๋ากว่า 19 ล้านปอนด์คว้าตัวมาร่วมทีม ค่าตัวถือเป็นสถิติโลก ณ ขณะนั้น สมัยค้าแข้งอยู่กับยูเวนตุสโชว์ผลงานได้ยอมเยี่ยมมากๆ สมเป็นยอดดาวยิงของทีม โดยลงสนามให้ยูเวนตุสไปทั้งสิ้น 200 เกมส์ ยิงประตูได้ถึง 115 ประตู สามารถพายูเวนตุสคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพในฤดูกาล 1992–93 ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในฤดูกาลดังกล่าวส่งผลให้เขาได้รับรางวัลคว้าบัลลง ดอร์ ในปี 1993 นอกจากนี้ยังพายูเวนตุสคว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย เอ ในฤดูกาล 1994–95 ก่อนจะย้ายไปเล่นให้กับเอซี มิลานในปี 1995 ในขณะที่เล่นให้กับเอซี มิลาน ยังสามารถช่วยพาเอซี มิลาน คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย เอ ได้อีกในฤดูกาล 1995–96
แม้บาจโจ้ จะประสบผลสำเร็จในระดับสโมสร แต่ในระดับทีมชาติจัดเป็นนักเตะอาภัพคนหนึ่ง แม้จะเป็นนักเตะคนสำคัญที่พาอิตาลีเข้าชิงในฟุตบอลโลกปี 1994 แต่ในช่วงดวลจุดโทษเขาเป็นคนยิงคนสุดท้ายของทีมแต่กลับยิงจุดโทษข้ามคานส่งผลให้อิตาลีพลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย แทนที่จะกลายเป็นฮีโร่ที่ช่วยยิงประตูสำคัญๆ ให้อิตาลีเข้าชิงได้ แต่การพลาดเพียงครั้งเดียวกลับต้องเป็นตราบาปติดตัวเขาไป

8. Rivaldo

Preload
"ริวัลโด้" อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติบราซิล จัดเป็นนักเตะจอมทักษะ สามารถลากเลื้อยเลี้ยงหลบกองหลังคู่แข่งเข้าไปยิงประตูหรือจ่ายให้เพื่อนยิงได้มากมาย ยังเป็นนักเตะจอมยิงไกลคนหนึ่ง สามารถปั่นฟรีคิกได้แม่นยำหวังผลได้ ในช่วงหนึ่งเคยได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเตะหมายเลข 1 ของโลก เคยได้รับรางวัลคว้าบัลลง ดอร์ และ นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีในปี 1999
ริวัลโด ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตการค้าแข้งคือการพาบราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2002 นอกจากนี้ยังพาบราซิลคว้าแชมป์ Confederations Cup ในปี 1997 Copa América ในปี 1999 และรองแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1998 ในระดับสโมสรยังเคยพาบาเซโลนา คว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัย (1997-98, 1998-99) และพาเอซี มิลาน คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย (2002-03)

7. Marco Van Basten

Preload
"มาร์โก้ แวน บาสเตน" อดีตศูนย์หน้าทีมชาติฮอลแลนด์ เป็นหนึ่งในนักเตะที่อยู่ในชุดรุ่งเรืองของฮอลแลนด์ชุดแชมป์ยูโร 1988 และเป็นหนึ่งในสามทหารของทีมเอซี มิลาน และทีมชาติฮอลแลนด์ แวน บาสเท่น เป็นนักเตะที่เล่นบอลได้สวยงาม เป็นหนึ่งในศูนย์หน้าที่ดีที่สุดตลอดกาล เวลาเล่นบอลมักอยู่ถูกที่ถูกเวลา เมื่อโอกาสมาถึงสามารถยิงประตูได้ทันที่จนแฟนชาวไทยให้ฉายาว่า เพชฌฆาตพรายกระซิบ และลูกยิงที่แฟนบอลติดตาตรึงใจคือลูกยิงใบไม้ร่วงมุมแคบยิงใส่สหภาพโซเวียตในนัดชิงฟุตบอลยูโร 1988
ในระดับสโมสรแวน บาสเท่น เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับอาแจ็กซ์ในปี 1981 โชว์ผลงานยอดเยี่ยมลงสนามในเกมส์ลีกให้อาแจ็กซ์ 133 นัด ยิงได้ถึง 128 ประตู ช่วยพาอาแจ็กซ์คว้าแชมป์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ลีก บอลถ้วย และบอลถ้วยยุโรป อย่างยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ จนเอซี มิลานคว้าตัวมาร่วมทีมในปี 1987 พามิลานคว้าแชมป์มากมายทั้งแชมป์ลีกอย่างกัลโช่ ซีรี่ เอ และแชมป์บอลถ้วยใหญ่ของสโมสรยุโรปอย่างยูโรเปี้ยน คัพ ถึง 2 สมัย จากผลงานอันยอดเยี่ยมส่งผลให้เขาได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ถึง 3 สมัย (1988, 1989, 1992) และ นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีอีก 2 สมัย (1988, 1992)

6. Ruud Gullit

Preload
"รุด กุลลิท"อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติฮอลแลนด์ เป็นนักเตะที่มีพลังในการเล่นมาก มีเทคนิคการเล่นบอลที่ดี มีความสามารถครบเครื่องและหาตัวจับยาก เป็นหนึ่งในนักเตะที่อยู่ในชุดรุ่งเรืองของฮอลแลนด์ชุดแชมป์ยูโร 1988 และเป็นหนึ่งในสามทหารของทีมเอซี มิลาน และทีมชาติฮอลแลนด์ ด้วยความยอดเยี่ยมของเขาทำให้กุลลิทได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ในปี 1987
กุลลิทเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับ HFC Haarlem ในปี 1979 และผ่านการเล่นมากับหลายสโมสรแต่มาประสบความสำเร็จสูงสุดกับเอซี มิลาน โดยสามารถพามิลานคว้าแชมป์กัลโช่ ซีรี่ เอถึง 3 สมัย และคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ อีก 2 สมัย นอกจากนี้กุลลิทยังเคยมาค้าแข้งกับเซลซี โดยสามารถพาเชลซีคว้าแชมป์เอฟ เอคัพได้ในฤดูกาล 1996-97

5. Luis Figo

Preload
"หลุยส์ ฟิโก้" อดีตปีกทีมชาติโปรตุเกส ถือเป็นตำนานนักเตะจอมเทคนิค และหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกคนหนึ่งในขณะนั้น เคยได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ในปี 2000 และ นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีของฟีฟ่าในปี 2001 เป็นอดีตกัปตันทีมชาติโปรตุเกส ลงสนามช่วยโปรตุเกสไปถึง 127 เกมส์ ยิงไป 32 ประตู ถือเป็นนักเตะที่ลงสนามให้ทีมชาติโปรตุเกสมากที่สุดตลอดกาลอันดับ 2 สามารถพาโปรตุเกสคว้ารองแชมป์ฟุตบอลยูโร 2004
ในระดับสโมสรเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับสโมสร สปอร์ติง ซีพีในปี 1995 โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมจนเจ้าบุญทุ่มบาร์เซโลน่าคว้ามาร่วมทีม ช่วยพาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์มากมายไม่ว่าจะเป็นลา ลีกา โกปา เดอร์ เร และแชมป์บอลถ้วยยุโรปอย่างยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ จนกระทั่งในปี 2000 ย้ายเป็นเล่นให้ทีมคู่แข่งตลาดกาลอย่าง เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวถึง 60 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ถือเป็นนักเตะที่ค่าตัวสูงที่สุด ณ ขณะนั้น จนสร้างความโกรธเคืองให้กับแฟนบอลบาร์เซโลน่าเป็นอย่างมาก สมัยเล่นกับเรอัล มาดริด ได้เล่นกับตำนานนักฟุตบอลจอมทัพอย่าง ซีเนอดิน ซีดาน, เดวิด เบ็คแฮม จนพาเรอัล มาดริดคว้าแชมป์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ลา ลีกา และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนจะย้ายไปเล่นให้กับอินเตอร์ มิลาน ในปี 2005 ช่วยพาอินเตอร์คว้าแชมป์กัลโช่ ซีรี่ เอ ถึง 4 สมัย และก็แขวนสตั๊ดที่นั่น

4. Lothar Matthaus

Preload
"โลธาร์ มัทเธอุส" อดีตกองกลางตัวรับทีมชาติเยอรมัน เป็นนักเตะในสไตล์เยอรมันขนานแท้ มีความฟิต แข็งแกร่ง รวดเร็ว สร้างสรรค์เกมส์ได้เป็นอย่างดี และประกบคู่แข่งแบบกัดไม่ปล่อย ด้วยความแข็งแกร่งและดุดันได้รับฉายาว่า ซูเปอร์แมน มัทเธอุสได้เล่นฟุตบอลโลกถึง 5 สมัย และเป็นหัวใจสำคัญช่วยพาเยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1990 โดยลงเล่นให้ทีมชาติเยอรมันไปทั้งสิ้น 150 เกมส์ ยิงได้ 23 ประตู ถือเป็นนักเตะที่ลงเล่นให้ทีมชาติยอรมันมากที่สุดตลอดกาล นอกจากนี้ยังเคยได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ในปี 1990 และนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีของฟีฟ่าในปี 1991 เป็นนักเตะเยอรมันเพียงคนเดียวที่สามารถคว้ารางวัลนี้ได้
มัทเธอุส เริ่มเตะบอลอาชีพกับสโมสร โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ในปี 1979 ก่อนจะย้ายไปบาเยิร์น มิวนิคในปี 1984 หลังจากนั้นก็ย้ายไปค้าแข้งให้กับอินเตอร์มิลานในปี 1988 และย้ายกลับมาบาร์เยิร์น มิวนิค อีกครั้งในปี 1992 ในระหว่างเล่นให้กับบาร์เยิร์น พาบาร์เยิร์นคว้าแชมป์บุนเดสลีกาถึง 7 สมัย แต่น่าเสียดายที่ยังไม่เคยคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เลยโดยทำได้เพียงรองแชมป์ 2 สมัย

3. Paolo Maldini

Preload
"เปาโล มัลดินี่" อดีตกองหลังทีมชาติอิตาลี และตำนานกองหลังของทีมเอซี มิลาน จัดเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดของโลก เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับมิลานในปี 1985 และเป็นสโมสรเดียวที่ลงเล่นให้โดยลงเล่นให้กับมิลานไปทั้งสิ้น 902 เกมส์ ถือเป็นตำนานนักเตะที่ลงเล่นให้กับมิลานมากที่สุดตลอดกาล ประสบความสำเร็จมากมายกับมิลาน โดยพามิลานคว้าแชมป์กัลโช่ ซีรี่ เอถึง 7 สมัย และคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถึง 5 สมัย เป็นนักเตะที่มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้มิลานเป็นทีมไร้เทียมทานในปลายยุค 80 จนถึงต้นยุค 90
ในระดับทีมชาติผลงานของเมาดินี่กลับเป็นได้แค่พระรอง ซึ่งกลับสวนทางกับผลงานในระดับสโมสรที่มักจะเป็นพระเอกเรื่อยมา โดยเมาดินี่ได้ลงเล่นฟุตบอลโลกให้กับทีมชาติอิตาลีถึง 4 สมัยปี 1990, 1994, 1998 และ 2002 ทำผลงานได้ดีที่สุดคือคว้ารองแชมป์ในปี 1994 สำหรับฟุตบอลยูโร ลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลี 3 สมัยปี 1988, 1996, 2000 ทำผลงานได้ดีที่สุดคือคว้ารองแชมป์ในปี 2000 เช่นกัน เมาดินี่ลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลีทั้งสิ้น 126 เกมส์ ยิงได้ 7 ประตู ถือเป็นนักเตะที่ลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลีมากที่สุดตลอดกาลอันดับ 3

2. Zinedine Zidane

Preload
"ซิเนอดีน ซิดาน" อดีตมิดฟิลด์ตัวรุกทีมชาติฝรั่งเศส เป็นนักเตะจอมเทคนิค มีทักษะฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม เล่นบอลได้ฉลาด สวยงาม และทรงประสิทธิภาพ เป็นหนึ่งในทำเนียบนักเตะที่ดีที่สุดของโลกตลอดกาล และเคยได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเตะหมายเลข1 ของโลก เป็นหัวใจสำคัญที่พาทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในปี 1998 และแชมป์ยูโรในปี 2000 เคยได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ในปี 1998 และนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีของฟีฟ่าในปี 1998 2000 และ 2003 แม้จะประสบผลสำเร็จสูงสุดกับทีมชาติฝรั่งเศส แต่ซีดานก็มีเรื่องแย่ๆ จนเป็นที่โจษจันไปทั่วโลกคือการเอาหัวโขกใส่มาเตรัซซี่ในเกมส์นัดชิงฟุตบอลโลกปี 2006 ส่งผลให้เขาถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม และฝรั่งเศสพลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย เกมส์นัดดังกล่าวถือเป็นการลงเล่นฟุตบอลนัดสุดท้ายของซีดาน นับเป็นการปิดฉากชีวิตนักฟุตบอลที่ไม่สวยงามนัก
ในระดับสโมสรซีดานเริ่มเล่นให้กับสโมสร Cannes ในปี 1898 ก่อนจะย้ายมาเล่นให้กับยูเวนตุสในปี 1996 โชว์ผลงานยอดเยี่ยมกับยูเวนตุสช่วยพายูเวนตุสคว้าแชมป์กัลโช่ ซีรี่ เอ 2 สมัยก่อนจะย้ายมาเล่นให้กับเรอัล มาดริดในปี 2001 ด้วยค่าตัวสูงถึง 75 ล้านยูโร ถือเป็นนักเตะที่มีค่าตัวสูงที่สุดของโลก ณ ขณะนั้น จนช่วยพามาดริดคว้าแชมป์ลา ลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้ และปิดฉากอาชีพการค้าแข้งที่นั่น

1. Ronaldo

Preload
"โรนัลโด้" อดีตศูนย์หน้าทีมชาติบราซิล เป็นศูนย์หน้าที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง มีทั้งทักษะการเล่น ชั้นเชิงและมันสมอง ความรวดเร็ว ความคม และความแข็งแกร่ง ถือเป็นหนึ่งในยอดศูนย์หน้าอันดับหนึ่งของโลกตลอดกาล และเคยได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเตะหมายเลข1 ของโลก มีส่วนสำคัญในการพาบราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2000 และโรนัลโดยังคว้าดาวซัลโวไปครองโดยยิงได้ 8 ประตู โดยโรนัลโดลงสนามในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายไปทั้งสิ้น 19 เกมส์สามารถยิงประตูได้ถึง 15 ประตู เป็นนักเตะที่ยิงประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมากที่สุดตลอดกาลอันดับ 2 นอกจากนี้ยังพาบราซิลคว้าแชมป์โคปา อเมริกาอีก 2 สมัย โรนัลโดลงเล่นให้ทีมชาติบราซิลไปทั้งสิ้น 98 เกมส์ ยิงไป 62 ประตู ถือเป็นนักเตะที่ยิงประตูให้ทีมชาติบราซิลได้มากที่สุดตลอดกาลอันดับ 2
ในระดับสโมสรเริ่มเล่นฟุตบอลกับสโมสรครูไซโร่ในปี 1993 ก่อนจะย้ายมาเล่นในยุโรปกับสโมสรชั้นนำมากมายไม่ว่าจะเป็น พีเอสวี บาร์เซโลนา อินเตอร์มิลาน เรอัลมาดริด และเอซีมิลาน ในสมัยที่เล่นให้กับมาดริดช่วยพามาดริดคว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัย และเคยได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ 2 สมัยในปี 1997, 2002

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ประวัติฟุตบอล

ประวัติฟุตบอล ความเป็นมาของฟุตบอล
ประวัติฟุตบอล – ฟุตบอล (Football) หรือซอคเก้อร์ (Soccer) เป็นกีฬาที่มีผู้สนใจที่จะชมการแข่งขันและเข้าร่วมเล่นมากที่สุดในโลก ชนชาติใดเป็นผู้กำเนิดกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะยืนยันได้แน่นอน เพราะแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ซูเลอ” (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio) มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ทั้งสองประเทศอาจจะถกเถียงกันว่ากีฬาฟุตบอลถือกำเนิดจากประเทศของตน อันเป็นการหาข้อยุติไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริง ดังนั้น ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะอ้างอิงได้ เพราะการเล่นที่มีกติกาการแข่งขันที่แน่นอน คือประเทศอังกฤษเพราะประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอลในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2431



ประวัติ FiFa

ประวัติ FiFa


นัดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศเกิดขึ้นครั้งแรก ในการแข่งขันที่กลาสโกว์ ในปี ค.ศ. 1872 ระหว่างสก็อตแลนด์กับอังกฤษ[2] และในการแข่งขันชิงชนะเลิศระหว่างประเทศครั้งแรกที่ชื่อ บริติชโฮมแชมเปียนชิป ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1884[3] กีฬาฟุตบอลเติบโตในส่วนอื่นของโลกนอกเหนือจากอังกฤษในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ มีการแนะนำกีฬาและแข่งขันประเภทนี้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1900 และ 1904 และที่กีฬาโอลิมปิกซ้อน 1906[4]
หลังจากที่สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (ฟีฟ่า) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1904 ได้มีการพยายามจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงชนะเลิศระหว่างประเทศ นอกเหนือจากประเทศที่เข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ปี 1906 ที่สวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศในยุคแรก ๆ แต่ประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการของฟีฟ่าอธิบายว่าการแข่งขันนั้นล้มเหลวไป[5]
ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 ในกรุงลอนดอน ฟุตบอลถือเป็นหนึ่งในกีฬาที่แข่งขันอย่างเป็นทางการ จัดขึ้นโดยสมาคมฟุตบอล อังกฤษได้ดูแลในการจัดการแข่งขัน โดยผู้แข่งขันเป็นมือสมัครเล่นเท่านั้นและดูเป็นการแสดงมากกว่าการแข่งขัน โดยบริเตนใหญ่ (แข่งขันโดยทีมฟุตบอลสมัครเล่นทีมชาติอังกฤษ) ได้รับเหรียญทองในการแข่งขัน ต่อมาในโอลิมปิกฤดูร้อน 1912 ที่สต็อกโฮล์มก็มีจัดขึ้นอีก โดยการแข่งขันจัดการโดยสมาคมฟุตบอลสวีเดน
ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกซึ่งแข่งขันฟุตบอลเฉพาะในทีมสมัครเล่น เซอร์โทมัส ลิปตันได้จัดการการแข่งขันที่ชื่อ การแข่งขันชิงถ้วยรางวัลเซอร์โทมัสลิปตัน จัดขึ้นในตูรินในปี ค.ศ. 1909 เป็นการแข่งขันระหว่างสโมสร (ไม่ใช่ทีมชาติ) จากหลาย ๆ ประเทศ บางทีมเป็นตัวแทนของแต่ละประเทศ การแข่งขันครั้งนี้บางครั้งอาจเรียกว่า การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก[6] มีทีมอาชีพเข้าแข่งขันจากทั้งในอิตาลี เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ แต่สมาคมฟุตบอลอังกฤษปฏิเสธที่จะร่วมในการแข่งขันและไม่ส่งทีมนักฟุตบอลอาชีพมาแข่ง ลิปตันเชิญสโมสรเวสต์อ็อกแลนด์ทาวน์ จากมณฑลเดอแรม เป็นตัวแทนของอังกฤษแทน ซึ่งสโมสรเวสต์อ็อกแลนด์ทาวน์ชนะการแข่งขันและกลับมารักษาแชมป์ในปี 1911 ได้สำเร็จ
ในปี ค.ศ. 1914 ฟีฟ่าได้จำแนกการแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิกว่าเป็น "การแข่งขันชิงแชมป์สำหรับมือสมัครเล่น" และลงรับผิดชอบในการจัดการการแข่ง[7] และนี่เป็นการปูทางให้กับการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทวีปเป็นครั้งแรก โดยในโอลิมปิกฤดูร้อน 1920 ที่มีทีมแข่งขันอย่างอียิปต์และทีมจากยุโรปอีก 13 ทีม มีผู้ชนะคือทีมเบลเยี่ยม[8] ต่อมาทีมอุรุกวัย ชนะในการแข่งขันฟุตบอลในโอลิมปิกในอีก 2 ครั้งถัดไปคือในปี ค.ศ. 1924 และ 1928 และในปี ค.ศ. 1924 ถือเป็นยุคที่ฟีฟ่าก้าวสู่ระดับมืออาชีพ

สนามกีฬาเอสตาเดียวเซนเตนาเรียว สถานที่การจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 ที่เมืองมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย
จากความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลในโอลิมปิก ฟีฟ่าพร้อมด้วยประธานที่ชื่อ ชูล รีเม ได้ผลักดันอีกครั้งโดยเริ่มมองหาหนทางในการจัดการแข่งขันนอกเหนือการแข่งขันโอลิมปิก ในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1928 ที่ประชุมฟีฟ่าในอัมสเตอร์ดัมตัดสินใจที่จะจัดการแข่งขันด้วยตัวเอง[9] กับอุรุกวัย ที่เป็นแชมเปียนโลกอย่างเป็นทางการ 2 ครั้ง และเพื่อเฉลิมฉลอง 1 ศตวรรษแห่งอิสรภาพของอุรุกวัยในปี ค.ศ. 1930 ฟีฟ่าได้ประกาศว่าอุรุกวัยเป็นประเทศเจ้าภาพในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก
สมาคมฟุตบอลของประเทศที่ได้รับการเลือก ได้รับการเชิญให้ส่งทีมมาร่วมแข่งขัน แต่เนื่องจากอุรุกวัยที่เป็นสถานที่จัดงาน นั่นหมายถึงระยะทางและค่าใช้จ่ายที่ต้องเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาจากฝั่งยุโรปมา ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่มีประเทศไหนในยุโรปตอบตกลงว่าจะส่งทีมมาร่วม จนกระทั่ง 2 เดือนก่อนการแข่งขัน ในที่สุดริเมตจึงสามารถเชิญทีมจากเบลเยี่ยม ฝรั่งเศส โรมาเนีย และยูโกสลาเวีย มีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 13 ทีม โดยมี 7 ทีมจากทวีปอเมริกาใต้ 4 ทีมจากยุโรป และ 2 ทีมจากอเมริกาเหนือ
2 นัดแรกของการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก จัดขึ้นในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1930 ผู้ชนะคือทีมฝรั่งเศส และทีมสหรัฐอเมริกา ชนะเม็กซิโก 4–1 และเบลเยี่ยม 3–0 ตามลำดับ โดยผู้ทำประตูแรกในฟุตบอลโลกมาจากลุกแซง โลร็องต์ จากฝรั่งเศส[10] ในนัดตัดสินทีมชาติอุรุกวัยชนะทีมชาติอาร์เจนตินา 4–2 ต่อหน้าผู้ชม 93,000 คนที่เมืองมอนเตวิเดโอ ทีมอุรุกวัยจึงเป็นชาติแรกที่ชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก[11]